ภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment) คืออะไร? โอนเงินกี่ครั้งเสียภาษี

ภาษี e-Payment ค้าขายออนไลน์ต้องรู้
Table of Contents

ในยุคที่การขายของออนไลน์กำลังเฟื่องฟู ใคร ๆ ก็สามารถเป็นพ่อค้าแม่ค้าได้ง่าย ๆ เพียงแค่มีมือถือและบัญชีธนาคารค่ะ แต่คุณน้าคิดว่ามีสิ่งหนึ่งที่พ่อค้าแม่ค้าหลายคนอาจจะยังไม่รู้ หรืออาจจะยังเข้าใจไม่ลึกมากพอ นั่นก็คือ ภาษี e-Payment ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนที่มีรายได้ผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น โอนเงิน, ขายของออนไลน์ หรือรับเงินผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ

สำหรับบทความนี้ คุณน้าจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment) คืออะไร? มีเกณฑ์ในการเสียภาษีอย่างไรบ้าง? รวมถึงวิธีการเตรียมตัวเพื่อให้สามารถยื่นภาษี e-Payment ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ห้ามพลาดบทความนี้เลยค่ะ!

คุณน้าส่องแว่นขยาย

ภาษีคืออะไร?

ภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment)

ภาษี คือ เงินที่รัฐบาลเรียกเก็บจากประชาชนหรือนิติบุคคล เพื่อจุดประสงค์ในการนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน, สาธารณสุข, การศึกษา และความมั่นคง ซึ่งภาษีนับเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่ประชาชนและนิติบุคคลมีพันธะต้องชำระ เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนนั่นเองค่ะ

เตรียมความพร้อมก่อนยื่นภาษีบุคคลเงินได้ธรรมดาออนไลน์

  1. คุณต้องยื่นภาษีประเภทใด?
  2. วิธียื่นภาษีแต่ละแบบทำอย่างไร?
  3. ต้องยื่นภาษีเมื่อไหร่? มีกำหนดระยะเวลาไหม?
  4. ถ้าไม่ยื่นภาษี จะเกิดอะไรขึ้น?

  1. รายได้ของคุณ เข้าข่ายเงินได้ประเภทใด?
  2. สำรวจสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่คุณสามารถใช้ได้ ทั้งลดหย่อนส่วนตัว ครอบครัว ประกัน หรือกองทุนต่าง ๆ
  3. เรียนรู้หลักการคำนวณภาษีแบบขั้นบันได พร้อมเทคนิคช่วยให้คำนวณภาษีได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

  1. วิธีลดการจ่ายภาษีที่อาจสูงเกินจำเป็น
  2. เคล็ดลับการใช้สิทธิลดหย่อนได้อย่างเต็มที่ ตามกฎหมาย
  3. การวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับมือภาระภาษีล่วงหน้าอย่างไม่สะดุด

  1. ไฟล์ Excel สำหรับคำนวณภาษี ตัวช่วยเบื้องต้นที่หลายคนคุ้นเคย
  2. เว็บไซต์คำนวณภาษี ระบบจะคำนวณภาษีให้โดยอัตโนมัติ
  3. แอปพลิเคชันคำนวณภาษี สำหรับคนยุคใหม่ที่ต้องการความคล่องตัวในการวางแผนภาษี

ภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment) คืออะไร?

ภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment) หรือ Electronic Payment Tax คือ กฎหมายที่กรมสรรพากรใช้ในการตรวจสอบและติดตามรายได้ของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ผ่านธุรกรรมการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร, Mobile Banking, พร้อมเพย์, QR Code และแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีและติดตามรายได้จากธุรกรรมทางดิจิทัล เช่น การโอนเงินหรือรับเงินจากการค้าขายออนไลน์

📢 เป้าหมายของภาษี e-Payment คือ ลดการเลี่ยงภาษีจากรายได้ที่ไม่ได้ถูกนำมายื่นภาษี โดยเฉพาะจากอาชีพอิสระหรือผู้ค้าขายออนไลน์ที่ไม่มีใบกำกับภาษีหรือหลักฐานรายได้แบบเป็นทางการนั่นเองค่ะ

ภาษีอีเพย์เมนต์เริ่มใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

กฎหมายภาษีอีเพย์เมนต์นี้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ 21 มีนาคม 2562 ค่ะ ถือว่าไม่เก่ามากนัก แต่หลายคนอาจยังไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะคนที่รับโอนถี่ เพราะนี่คือกลุ่มที่อาจจะอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องถูก “รายงานข้อมูล” ไปยังกรมสรรพากร โดยสถาบันการเงินจะต้องเริ่มรายงานข้อมูลธุรกรรมที่เข้าเกณฑ์ให้กรมสรรพากรตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

โดยธุรกรรมที่ต้องรายงานไม่ใช่แค่การฝากหรือรับโอนเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรับเงินปันผล, ดอกเบี้ย หรือกำไรจากการขายสินทรัพย์อื่น ๆ อาทิ ทองคำ ทุกรายการเหล่านี้จะถือเป็นรายได้ของเจ้าของบัญชี และต้องถูกรายงานข้อมูลไปยังกรมสรรพากรนั่นเองค่ะ


ใครบ้างที่เข้าเกณฑ์ภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment)?

ถ้ามีบัญชีธนาคารหรือมีหลายบัญชีในธนาคารเดียวกัน แล้วมีการทำธุรกรรมตามเงื่อนไขต่อไปนี้ สถาบันการเงินจะต้องส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรภายในเดือนมีนาคมของทุกปี โดยเกณฑ์มีดังนี้

  1. รับฝากหรือรับโอนเงินเข้ารวมทุกบัญชีในธนาคารเดียวกันตั้งแต่ 3,000 ครั้งต่อปี โดยไม่จำกัดจำนวนเงินต่อครั้ง
  2. หรือรับฝากหรือรับโอนเงินเข้าทุกบัญชีรวมกัน ตั้งแต่ 400 ครั้งต่อปี และมียอดเงินรวมตั้งแต่ 2,000,000 บาทต่อปีขึ้นไป ซึ่งต้องเข้าเงื่อนไขทั้งจำนวนครั้งและยอดเงินค่ะ

หมายเหตุ: หากเราเปิดบัญชีกับธนาคารเดียวกันไว้หลายบัญชี เช่น 5 บัญชี จะมีการนับจำนวนครั้งและยอดเงินจะนำของทุกบัญชีที่ชื่อเดียวกันในธนาคารนั้นมารวมกันเลย แต่ถ้าเป็นบัญชีคนละธนาคารยอดจะไม่ถูกนำไปรวมกันค่ะ

ตารางสรุปเกณฑ์ที่ธนาคารจะส่งข้อมูลให้สรรพากร พร้อมตัวอย่าง

ตามข้อมูลข้างต้นเกณฑ์ในการส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรแบ่งเป็น 2 กรณีหลัก ๆ แต่เพื่อให้เข้าใจง่ายมากขึ้น คุณน้าจะขออธิบายพร้อมตัวอย่าง ดังนี้

กรณีที่ 1ธนาคาร A มีการฝากและรับโอน 2,900 ครั้งต่อปี
และธนาคาร B มีการทำธุรกรรมฝากและรับโอน 1,000 ครั้งต่อปี
ธนาคาร A และธนาคาร B ไม่จำเป็นต้องรายงานต่อสรรพากร เพราะจำนวนครั้งที่เงินเข้า ไม่เข้าเกณฑ์และไม่สามารถนำมารวมกันได้
กรณีที่ 2ธนาคาร A มีการทำธุรกรรมการฝากและรับโอนผ่านบัญชีที่ 1 จำนวน 500 ครั้งและบัญชีที่ 2 จำนวน 2,500 ครั้ง
รวมเป็น 3,000 ครั้งต่อปี

ธนาคาร B มีการทำธุรกรรมการฝากและรับโอนผ่านบัญชีที่ 1 จำนวน 500 ครั้งและบัญชีที่ 2 จำนวน 2,000 ครั้ง
รวมเป็น 2,500 ครั้งต่อปี
ธนาคาร A จำเป็นต้องรายงานต่อสรรพากร เพราะจำนวนครั้งเข้าเกณฑ์



แต่ธนาคาร B ไม่จำเป็นต้องรายงานต่อสรรพากร เพราะจำนวนครั้งที่เงินเข้า ไม่เข้าเกณฑ์

จะเห็นได้ว่าการนำส่งข้อมูลจะถูกนับเฉพาะธนาคารที่เข้าเกณฑ์ที่จำนวนครั้งและยอดเงินรวม หากเข้าเกณฑ์เพียงอย่างใดอย่างนึงจะไม่ถูกนำส่งข้อมูลค่ะ


หากเข้าเกณฑ์จะต้องเสียภาษีเลยไหม?

การเข้าเกณฑ์ที่ต้องรายงานข้อมูลไม่ได้หมายความว่าต้องเสียภาษีทันทีนะคะ แต่เป็นการเปิดเผยข้อมูลให้กรมสรรพากรทราบ เพื่อใช้ประกอบการตรวจสอบเท่านั้น หากรายได้ที่ได้รับจากธุรกรรมเหล่านี้เป็นรายได้ตามกฎหมาย เช่น รายได้จากการขายของออนไลน์ รับเงินค่าบริการ ฯลฯ ผู้มีรายได้ต้องนำไปรายงานและยื่นภาษีประจำปีให้ถูกต้องด้วยตนเองค่ะ

📌 หมายเหตุ : หากคุณไม่ได้เข้าเกณฑ์นี้ ธนาคารจะไม่ส่งข้อมูลของคุณให้สรรพากร แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ต้องยื่นภาษี หากมีรายได้เกินเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดตามกฎหมาย


เอกสารที่ต้องส่งให้กรมสรรพากรมีอะไรบ้าง?

สำหรับข้อมูลและเอกสารในส่วนนี้ พ่อค้าแม่ค้าไม่ต้องทำการส่งเอกสารด้วยตนเองค่ะ สถาบันการเงินและผู้ให้บริการ e-Wallet ที่เราใช้บริการจะเป็นผู้รับผิดชอบในการนำส่งข้อมูลให้สรรพากรเอง แต่เนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนตัวของเรา จึงควรทราบว่าเอกสารหรือข้อมูลใดบ้างที่สถาบันการเงินจะต้องรายงานให้สรรพากรค่ะ

ข้อมูลที่สถาบันการเงินต้องนำส่งสรรพากร มีดังนี้

  • เลขประจำตัวประชาชน
  • ชื่อ-นามสกุล
  • จำนวนครั้งที่มีการฝากหรือรับโอนเงินในแต่ละปี
  • ยอดรวมของเงินฝากหรือรับโอนทั้งหมดในปีนั้น
  • เลขที่บัญชีที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม

หลังจากที่ข้อมูลเหล่านี้ถูกส่งไปยังกรมสรรพากรแล้ว หากพบว่าพ่อค้าแม่ค้ามีลักษณะเข้าข่ายต้องเสียภาษีเพิ่มเติม กรมสรรพากรจะติดต่อเพื่อขอให้จัดเตรียมเอกสารเพิ่มเติม เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาภาษีอย่างถูกต้องค่ะ

📢 ข้อควรรู้ : พ่อค้าแม่ค้าไม่ต้องส่งเอกสารเอง แต่ควรเก็บรักษาหลักฐานทางการเงินให้เป็นระเบียบ เพื่อพร้อมสำหรับการวางแผนภาษีและการตรวจสอบจากกรมสรรพากรในอนาคตด้วยนะคะ


ค่าปรับเกี่ยวกับ e-Payment ที่ควรรู้

ค่าปรับสำหรับธนาคาร, สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการ e-Wallet ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ส่งข้อมูลธุรกรรมให้กรมสรรพากรนั้น มีความผิดตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นกฎหมาย e-Payment โดยมีบทลงโทษดังนี้

บทลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ส่งข้อมูลธุรกรรมให้กรมสรรพากร

  • ปรับไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับการไม่ส่งข้อมูลตามกำหนด
  • ปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท จนกว่าจะส่งข้อมูลครบถ้วน

บทลงโทษกรณีเจ้าพนักงานเปิดเผยข้อมูลผู้เสียภาษีโดยไม่ได้รับอนุญาต

ในกรณีเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลของผู้เสียภาษีโดยไม่ได้รับอนุญาต จะมีโทษทางอาญา ดังนี้

  • จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติในกฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความลับของข้อมูลผู้เสียภาษีค่ะ


ประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้องกับ e-Payment

1. ภาษีเงินได้

สำหรับบุคคลธรรมดา

  • รายได้ที่เกิดจากการขายสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์และรับชำระผ่านระบบ e-Payment ถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
  • ผู้มีรายได้จากแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น YouTube, TikTok หรือ Facebook ที่รับเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ต้องนำรายได้เหล่านี้มารวมเพื่อคำนวณภาษี
  • การขายสินค้าออนไลน์ผ่าน e-Marketplace และรับเงินผ่าน e-Payment ก็อยู่ในข่ายต้องยื่นภาษีเช่นกัน

สำหรับนิติบุคคล

  • บริษัทที่มีรายได้จากช่องทาง e-Payment ต้องบันทึกรายได้เหล่านี้ในระบบบัญชีและนำมาคำนวณเป็นรายได้ที่ต้องยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล
  • กำไรจากธุรกรรม e-Payment ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ต้องถูกนำมาคำนวณในงบการเงินเพื่อยื่นภาษี

2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

  • ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการผ่านระบบ e-Payment เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • การขายสินค้าหรือบริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และรับชำระเงินผ่านระบบ e-Payment ต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากลูกค้าและนำส่งกรมสรรพากร
  • แพลตฟอร์มดิจิทัลต่างประเทศที่ให้บริการแก่ผู้ใช้ในประเทศไทย เช่น Netflix หรือ Spotify ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในไทยและเรียกเก็บ VAT จากผู้ใช้บริการ

3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

  • การจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการผ่านระบบ e-Payment ในบางกรณียังคงต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย
  • นิติบุคคลที่จ่ายเงินให้กับผู้ขายหรือผู้ให้บริการผ่านระบบ e-Payment มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
  • การจ่ายค่าโฆษณาให้กับ Influencer หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ผ่านระบบ e-Payment ต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 2-3% ตามประเภทของผู้รับเงิน

พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ควรเตรียมตัวยื่นภาษีขายของออนไลน์อย่างไร?

1. เริ่มต้นจากการจดทะเบียนธุรกิจ

หากคุณขายของเป็นประจำและมีรายได้อย่างต่อเนื่อง ควรดำเนินการจดทะเบียนพาณิชย์หรือจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เพื่อให้กิจการมีสถานะทางกฎหมายที่ชัดเจน และสามารถดำเนินการด้านภาษีได้อย่างถูกต้องตามระเบียบ

2. แยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจ

การแยกบัญชีของกิจการออกจากบัญชีส่วนตัวอย่างชัดเจน จะช่วยให้คุณสามารถติดตามรายได้ ค่าใช้จ่าย และผลประกอบการของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังลดความสับสนในกรณีที่ต้องยื่นภาษีหรือถูกตรวจสอบ

3. เก็บบันทึกรายรับรายจ่าย

ไม่ว่าจะใช้แอปพลิเคชันบัญชีหรือบันทึกด้วยมือ การจัดเก็บข้อมูลรายรับรายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณคำนวณภาษีปลายปีได้ง่ายขึ้น พร้อมหลักฐานประกอบหากมีการตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐ

4. ยื่นภาษีให้ถูกต้อง

  • บุคคลธรรมดา: ยื่นภาษีผ่านแบบ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี
  • นิติบุคคล: ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 และเสียภาษีตามรอบบัญชี

ข้อควรระวังเกี่ยวกับภาษีขายของออนไลน์สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์

  • อย่าคิดว่า “ยอดโอนน้อย ๆ หลบได้” เพราะระบบดิจิทัลสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้ทั้งหมด
  • ถ้าถูกตรวจสอบย้อนหลังแล้วพบว่าไม่ได้ยื่นภาษี อาจถูกเรียกเก็บย้อนหลังพร้อมเบี้ยปรับ
  • หากจัดการภาษีถูกต้องตั้งแต่แรก คุณจะไม่มีอะไรต้องกังวลเลย
คุณน้ารีวิวโบรกเกอร์

ตัวอย่างสถานการณ์ของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เกี่ยวกับภาษีอีเพย์เมนต์

คุณน้าขอยกสถานการณ์ตัวอย่างมาให้ดูกันนะคะ ว่าเข้าข่ายยื่นภาษี e-Payment หรือไม่? และต้องดำเนินการอย่างไร?

สถานการณ์เข้าข่ายภาษี e-Payment หรือไม่?ต้องทำอย่างไร
ขายของผ่าน Facebook Live และรับโอนเงินเข้าแอปธนาคารวันละ 10 ครั้งถ้าเกิน 3,000 ครั้ง/ปี → ใช่ควรเริ่มต้นบันทึกรายรับ และยื่นภาษีอย่างถูกต้อง
ขายของเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ รายได้รวมปีละ 200,000 บาทไม่เข้าเกณฑ์ e-Payment เนื่องจากรายได้รวมต่ำกว่า 400,000 บาทต่อปี และรับเงินไม่เกิน 3,000 ครั้งแต่หากรายได้รวมเกิน 60,000 บาท/ปียังคงต้องยื่นภาษี
ใช้บัญชีเดียวกันทั้งรับเงินจากงานประจำและขายของออนไลน์มีโอกาสถูกเข้าใจผิดว่าเป็นรายได้จากแหล่งเดียวควรแยกบัญชีเพื่อความชัดเจนและลดความเสี่ยง

ไขทุกข้อข้องใจเกี่ยวกับภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment)

Q1: ภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment) คือการเสียภาษีใหม่หรือไม่?

ภาษีอีเพย์เมนต์ไม่ใช่ภาษีใหม่ แต่เป็นระบบการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินที่สถาบันการเงินต้องส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร เพื่อใช้ในการตรวจสอบการเสียภาษีตามกฎหมายเดิม ไม่ได้เก็บภาษีเพิ่มจากที่กฎหมายกำหนดไว้


Q2: เงินหมุนเวียนในบัญชีเท่าไหร่ต้องเสียภาษี? ถ้าโอนเงินให้เพื่อนบ่อย ๆ จะโดนเรียกเก็บภาษีด้วยไหม?

หากบัญชีมีการฝากหรือโอนเงินเข้าครบ 3,000 ครั้งต่อปีขึ้นไป หรือมีการฝากหรือโอนเงินเข้าตั้งแต่ 400 ครั้งต่อปีขึ้นไป และมียอดเงินรวมเกิน 2,000,000 บาทต่อปี จะถูกส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรตรวจสอบ แต่ถ้าไม่เข้าเงื่อนไขดังกล่าวและไม่ใช่ลักษณะการค้าขาย จะไม่ถูกเรียกเก็บภาษี


Q3: ใช้บัญชีเดียวกันทั้งส่วนตัวและขายของ จะมีปัญหาไหม?

หากใช้บัญชีเดียวกันก็มีโอกาสสับสนและถูกเข้าใจผิดได้ค่ะ ควรแยกบัญชีเพื่อลดความเสี่ยงในการตรวจสอบย้อนหลังนะคะ


Q4: ถ้ารายได้ไม่ถึง 60,000 บาทต่อปี ต้องเสียภาษีไหม?

ไม่ต้องเสียภาษี แต่อาจต้องยื่นแบบภาษีเพื่อแสดงตัวว่าไม่มีรายได้เกินเกณฑ์ เพื่อความโปร่งใส


Q5: ถ้าไม่เคยยื่นภาษีเลย จะเริ่มอย่างไร?

  • สมัครบัญชีผู้เสียภาษีผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร
  • เก็บข้อมูลรายรับรายจ่ายให้พร้อม
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือเจ้าหน้าที่สรรพากรได้ฟรี

Q6: โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม? โอนเงินเข้าออกกี่ครั้งถึงต้องเสียภาษี?

หากมีการโอนเงินเข้าออกเกิน 3,000 ครั้งต่อปี ธนาคารจะส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรตรวจสอบ และหากเข้าเงื่อนไขจำนวนครั้งและยอดเงินที่กำหนด ก็อาจต้องเสียภาษีตามกฎหมายค่ะ


Q7: มียอดเงินเข้าบัญชีเกิน 2 ล้าน แต่ไม่ถึง 400 ครั้ง ต้องยื่นภาษีไหม?

ถ้าจำนวนครั้งโอนเงินไม่ถึง 400 ครั้งต่อปี แม้ยอดเงินจะเกิน 2,000,000 บาท ธนาคารจะไม่ส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร แต่อาจต้องยื่นแบบภาษีเพื่อแสดงตัวว่าไม่มีรายได้ค่ะ


Q8: ขายของออนไลน์ จ่ายภาษีอย่างไร หากมียอดโอนเข้าเกิน 400 ครั้ง?

ต้องเตรียมเอกสารรายได้และยื่นภาษีตามปกติ โดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ

  • จำนวนครั้งเกิน 400 ครั้งและยอดเงินเกิน 2,000,000 บาท จะถูกส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร
  • จำนวนครั้งเกิน 400 ครั้งแต่ยอดเงินไม่เกิน 2,000,000 บาท จะไม่ถูกส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร

Q9: ห้ามโอนเงินเกินกี่ครั้งต่อปี จึงจะไม่ถูกนำส่งข้อมูลไปยังกรมสรรพากร?

ธนาคารจะไม่ส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรหากมีการโอนเงินไม่เกิน 3,000 ครั้งต่อปี หรือหากยอดเงินเกิน 2,000,000 บาท ต้องโอนต่ำกว่า 400 ครั้งต่อปีเพื่อไม่ให้ถูกส่งข้อมูลค่ะ


📌 บทความเกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม


3 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment)

📢 ภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment) คืออะไร และเกี่ยวข้องกับใครบ้าง?

ตอบ ภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment) คือ กฎหมายที่กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการ e-Wallet ต้องรายงานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของผู้มีบัญชีที่เข้าข่ายธุรกรรมเฉพาะให้กรมสรรพากร เช่น ผู้ที่มียอดฝากหรือรับโอนเงินเข้าบัญชีตั้งแต่ 3,000 ครั้งต่อปี หรือมียอดฝากหรือรับโอนตั้งแต่ 400 ครั้งต่อปีพร้อมยอดเงินรวมเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไป กฎหมายนี้ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่ใช้บัญชีธนาคารหรือ e-Wallet ในการทำธุรกรรม

📢 พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องเสียภาษีหรือไม่?

ตอบ การเสียภาษีของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์สามารถแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้

  1. มีรายได้ 60,000 ขึ้นไป ต้องยื่นภาษี
  2. มีรายได้สุทธิ 150,000 บาทขึ้นไป เข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษี

โดยรายได้จากการขายของออนไลน์จะถูกจัดอยู่ในประเภทเงินได้ 40(8) ซึ่งต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกจากนี้ หากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือนด้วย

📢 พ่อค้าแม่ค้าควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อยื่นภาษีให้ถูกต้อง?

ตอบ 1. ควรจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างเป็นระบบและเก็บหลักฐานการเงินให้ครบถ้วน

2. เลือกวิธีหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ หักแบบเหมาร้อยละ 60 ของรายได้ หรือหักตามค่าใช้จ่ายจริงพร้อมหลักฐาน

3. รู้เวลายื่นภาษีที่ถูกต้อง เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายื่นปีละครั้งในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม และถ้ามีรายได้จากหลายแหล่ง อาจต้องยื่นภาษีกลางปีด้วย

4. หากรายได้เกินเกณฑ์ ต้องจดทะเบียน VAT และออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า

5. ควรแยกบัญชีธนาคารส่วนตัวกับธุรกิจ เพื่อความสะดวกในการจัดทำบัญชีและตรวจสอบภาษี


สรุป ภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment) คืออะไร?

ภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment) คือ กฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับรายได้จากการทำธุรกรรมออนไลน์ทุกประเภท ไม่ว่าจะรับเงินผ่านช่องทางใด หากรายได้ถึงเกณฑ์ก็ต้องยื่นภาษีตามกฎหมาย ดังนั้น ผู้ค้าออนไลน์มือใหม่ควรจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างถูกต้อง ยื่นภาษีให้ครบถ้วน และชำระภาษีผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อความสะดวกและถูกต้องตามกฎหมายนะคะ คุณน้าหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยค่ะ เพราะเรื่องภาษีถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายกำหนดค่ะ


สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers

บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing

คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge

Picture of khunnaphatrade
khunnaphatrade
Recent Post
คุยหุ้นสหรัฐ เจาะลึกทุกมุมมอง วันที่ 22 กรกฎาคม 2025
คุยหุ้นสหรัฐ เจาะลึกทุกมุมมอง วันที่ 22 กรกฎาคม 2025

ในบทความนี้เราจะมาคุยหุ้น เจาะลึกปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงและมุมมองในการลงทุน สายหุ้นสหรัฐห้ามพลาดบทความนี้!

วิเคราะห์ USDJPY ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 21 กรกฎาคม 2025
วิเคราะห์ USDJPY ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 21 กรกฎาคม 2025

พบกับวิเคราะห์ USDJPY ที่สายเทรดสั้นห้ามพลาด การวิเคราะห์คู่เงิน Forex ดูแนวโน้มราคาล่าสุด สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค

ทางเว็บไซต์ คุณน้าพาเทรด
ได้มีการใช้คุกกี้เพื่อช่วยปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์ของเราดียิ่งขึ้น


Privacy Policy